ทายาทอยู่ต่างประเทศ? แก้ปัญหาเซ็น “หนังสือยินยอม”

จัดการมรดกติดขัดเพราะทายาทอยู่ต่างประเทศ? เปิดวิธีเซ็นหนังสือยินยอมจากต่างแดนที่ถูกต้อง เพื่อยื่นคำร้องต่อศาล

สวัสดีค่ะ

ในยุคที่โลกเชื่อมถึงกัน การที่คนในครอบครัวย้ายถิ่นฐานไปใช้ชีวิตหรือทำงานในต่างประเทศกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในครอบครัว โดยเฉพาะการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ปัญหาที่ซับซ้อนกว่าเรื่องความรู้สึกก็มักจะตามมา นั่นคือ “การจัดการมรดก”

ปัญหาคลาสสิกที่ดิฉันในฐานะผู้เชี่ยวชาญพบบ่อยมาก คือสถานการณ์ที่ทายาทคนอื่นๆ ในประเทศไทยพร้อมใจกันจะแต่งตั้ง “ผู้จัดการมรดก” (เช่น พี่คนโต) เพื่อไปดำเนินการปลดล็อกทรัพย์สินของผู้ตาย ทั้งที่ดิน บัญชีธนาคาร หรือรถยนต์

แต่กระบวนการทั้งหมดต้อง “หยุดชะงัก” ลงทันที…

เพียงเพราะทายาทอีกคนหนึ่ง (เช่น น้องคนเล็ก) พำนักอาศัยอยู่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษ หรือญี่ปุ่น และไม่สามารถเดินทางกลับมายังประเทศไทย เพื่อลงนามในเอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่ได้

คำถามคือ “ลายเซ็น” จากต่างแดนนั้น จะทำอย่างไรให้มีผลผูกพันตามกฎหมายไทย? และเอกสารสำคัญที่เรียกว่า “หนังสือให้ความยินยอม” นั้น ต้องทำอย่างไร ศาลจึงจะยอมรับ?

บทความนี้จะอธิบายและให้ทางออกที่ชัดเจนทีละขั้นตอน สำหรับการแก้ปัญหาทายาทอยู่ต่างประเทศ เพื่อให้การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอยอย่างไม่มีกำหนดค่ะ

หัวใจสำคัญ: ทำไม “หนังสือให้ความยินยอม” จึงจำเป็น?

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจบทบาทของเอกสารฉบับนี้ในกระบวนการของศาล

ตามกฎหมาย เมื่อทายาทคนหนึ่งยื่น “คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก” ต่อศาล ศาลมีหน้าที่ต้องแจ้งให้ทายาทผู้มีสิทธิ์รับมรดกคนอื่นๆ “ทุกคน” ทราบก่อน เพื่อให้โอกาสพวกเขาในการคัดค้าน หากไม่เห็นด้วย

วิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดที่จะพิสูจน์ต่อศาลว่าทายาทคนอื่น “ไม่คัดค้าน” คือการที่ทายาทเหล่านั้น ลงนามใน “หนังสือให้ความยินยอมในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก” (Letter of Consent)

เอกสารฉบับนี้ คือคำแถลงทางกฎหมายที่บอกกับศาลว่า:

“ข้าพเจ้า (ชื่อทายาท) ในฐานะทายาทของ (ผู้ตาย) รับทราบแล้วว่า (ชื่อผู้ร้อง) ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก และข้าพเจ้า “ยินยอม” ด้วยความสมัครใจ ไม่ติดใจคัดค้านแต่อย่างใด”

ปัญหาของลายเซ็นจากต่างประเทศ

หากทายาททุกคนอยู่ในไทย ก็เพียงแค่พิมพ์เอกสารฉบับนี้ เซ็นชื่อ แล้วแนบสำเนาบัตรประชาชนที่ยังไม่หมดอายุ เรื่องก็จบ

แต่เมื่อทายาทอยู่ต่างประเทศ ศาลไทยจะทราบได้อย่างไรว่า ลายเซ็นที่ส่งมาจากต่างแดนนั้น เป็นลายเซ็นของทายาทตัวจริง? และเขาได้เซ็นด้วยความสมัครใจจริง ไม่ได้ถูกบังคับ?

ศาลไทย “ไม่สามารถ” รับรองลายเซ็นที่อยู่นอกราชอาณาจักรได้ด้วยตนเอง ดังนั้น เอกสารที่เซ็นลอยๆ มาจากต่างประเทศ แล้วส่งไปรษณีย์กลับมา จึง “ไม่มีน้ำหนัก” ในทางกฎหมาย และจะถูกศาลปฏิเสธทันที

กระบวนการที่จำเป็นต้องทำคือ “การรับรองลายมือชื่อ” (Authentication) โดยหน่วยงานที่กฎหมายไทยให้การยอมรับ เพื่อยืนยันว่าลายเซ็นนั้น “เป็นของจริง”


2 ทางเลือกหลัก: วิธีรับ “หนังสือยินยอม” จากทายาทที่อยู่ต่างประเทศ

เมื่อทายาทไม่สามารถเดินทางกลับมาเซ็นเอกสารในไทยได้ เรามี 2 ทางเลือกหลักในการจัดการเอกสารให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อยื่นต่อศาลไทย ดังนี้ค่ะ

ทางเลือกที่ 1: (วิธีที่ดีที่สุด) การรับรองโดย “สถานเอกอัครราชทูต” หรือ “สถานกงสุลใหญ่” ของไทย

นี่คือวิธีที่ “ง่ายที่สุด ชัดเจนที่สุด และเป็นที่ยอมรับของศาลไทย 100%” เพราะเป็นการดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยในต่างแดนโดยตรง

ขั้นตอนที่ต้องทำ (Step-by-Step):

1. ฝ่ายผู้ร้องในไทย (The Petitioner in Thailand):

  • ร่างเอกสาร: ผู้ร้อง (หรือทนายความของผู้ร้อง) ต้องเป็นผู้ “ร่าง” เอกสารสำคัญ 2 ฉบับ คือ:
    1. หนังสือให้ความยินยอม (Letter of Consent)
    2. หนังสือมอบอำนาจ (Power of Attorney) – (จำเป็นมาก ใช้สำหรับมอบอำนาจให้ผู้ร้องหรือทนายความ มีอำนาจในการรับหมายศาล หรือดำเนินการต่างๆ แทนทายาทที่อยู่ต่างประเทศ)
  • ส่งไฟล์เอกสาร: ส่งไฟล์เอกสาร (เช่น .PDF หรือ .Word) เหล่านี้ ไปให้ทายาทที่อยู่ต่างประเทศทางอีเมลหรือช่องทางอื่นๆ (ยังไม่ต้องเซ็น)

2. ฝ่ายทายาทในต่างประเทศ (The Heir Abroad):

  • นัดหมาย: ทายาทต้องติดต่อ “สถานเอกอัครราชทูตไทย” หรือ “สถานกงสุลใหญ่ไทย” ที่ใกล้ที่สุดในประเทศที่ตนพำนักอยู่ (เช่น หากอยู่นิวยอร์ก ก็นัดที่สถานกงสุลใหญ่นิวยอร์ก) เพื่อทำนัดหมาย “รับรองลายมือชื่อ” (Notarial Services)
  • เตรียมเอกสาร: ทายาทต้องเตรียม:
    1. หนังสือเดินทาง (Passport) หรือ บัตรประชาชนไทย (Thai ID Card) ตัวจริง ที่ยังไม่หมดอายุ
    2. เอกสาร “หนังสือให้ความยินยอม” และ “หนังสือมอบอำนาจ” ที่ปรินต์ออกมา (ห้ามเซ็นชื่อไปก่อนเด็ดขาด)
  • ไปตามนัด: ทายาทต้องเดินทางไปที่สถานทูต/สถานกงสุล ตามวันนัด
  • เซ็นต่อหน้าเจ้าหน้าที่: ทายาทจะต้อง “ลงลายมือชื่อ” ในเอกสารทั้งสองฉบับ ต่อหน้าเจ้าหน้าที่กงสุล
  • การรับรอง: เจ้าหน้าที่กงสุลจะประทับตรานูนและลงนามรับรองว่า “ลายมือชื่อนี้ เป็นของบุคคลนี้จริง ซึ่งได้มาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่” (กระบวนการนี้เรียกว่า “Legalization” หรือ “Authentication of Signature”)
  • ชำระค่าธรรมเนียม: มีค่าธรรมเนียมตามที่สถานทูต/สถานกงสุลกำหนด

3. การส่งกลับมายังประเทศไทย:

  • ส่ง “ต้นฉบับ” เท่านั้น: ทายาทต้องส่งเอกสาร “ตัวจริง” ทั้งสองฉบับที่ผ่านการรับรองและประทับตราแล้ว กลับมายังประเทศไทยให้ผู้ร้อง (ผ่านบริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ เช่น DHL, FedEx)
  • ข้อควรระวัง: ศาลไทยไม่รับ “สำเนาสแกน” หรือ “แฟกซ์” เอกสารที่ถูกรับรองแล้วจะต้องเป็น “ต้นฉบับ” ที่มีตราประทับจริงเท่านั้น

เมื่อผู้ร้องในไทยได้รับเอกสารต้นฉบับนี้ ก็สามารถนำไปแนบประกอบคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้ทันที ศาลจะถือว่าเป็นการยินยอมที่สมบูรณ์แบบค่ะ


ทางเลือกที่ 2: (วิธีที่ซับซ้อนกว่า) การรับรองโดย “Notary Public”

ในบางสถานการณ์ ทายาทอาจพำนักอยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยอย่างมาก (เช่น สถานทูตอยู่วอชิงตัน ดี.ซี. แต่ทายาทอยู่อะแลสกา) การเดินทางอาจไม่สะดวก

ในกรณีนี้ กฎหมายเปิดช่องให้ใช้การรับรองโดย “Notary Public” (หรือ โนตารี พับลิค) ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ ให้รับรองลายมือชื่อและเอกสารได้

แต่… กระบวนการนี้ซับซ้อนกว่ามาก และมีขั้นตอนดังนี้:

  1. เซ็นต่อหน้า Notary Public: ทายาทนำเอกสาร (หนังสือยินยอม/มอบอำนาจ) ไปลงนามต่อหน้า Notary Public ในท้องถิ่นของตน
  2. Notary Public รับรอง: Notary Public จะประทับตราและลงนามรับรองลายมือชื่อของทายาท

(จุดที่คนมักทำพลาด) เอกสารที่รับรองโดย Notary Public “ยังไม่สามารถ” นำไปใช้ในศาลไทยได้ทันที!

3. การรับรองลายมือชื่อ Notary: คุณต้องนำเอกสารที่ Notary รับรองแล้ว ไปให้ “หน่วยงานที่มีอำนาจสูงกว่า” ในประเทศนั้นๆ รับรองอีกทอดหนึ่งว่า “Notary Public คนนี้ เป็นตัวจริงและมีอำนาจรับรอง” (เช่น หากเป็นในสหรัฐฯ อาจจะต้องผ่าน Secretary of State ของมลรัฐนั้นๆ)

4. การรับรองโดยสถานทูตไทย: หลังจากผ่านขั้นตอนที่ 3 แล้ว สุดท้ายก็ยังต้องส่งเอกสารทั้งหมดนี้ ไปที่ “สถานทูต/สถานกงสุลไทย” ในประเทศนั้นอยู่ดี เพื่อให้เจ้าหน้าที่กงสุลไทย “รับรองตราประทับของหน่วยงานในขั้นตอนที่ 3” อีกครั้ง

5. การแปล (หากจำเป็น): หากตราประทับหรือเอกสารรับรองของ Notary เป็นภาษาต่างประเทศทั้งหมด (เช่น ภาษาเยอรมัน หรือ ญี่ปุ่น) เมื่อส่งกลับมาถึงไทย จะต้องนำไป “แปลเป็นภาษาไทย” และให้กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ (ในไทย) รับรองคำแปลนั้นอีกทอดหนึ่ง

ข้อสรุปสำหรับทางเลือกที่ 2: จะเห็นได้ว่าทางเลือกนี้มีหลายขั้นตอน ซับซ้อน ใช้เวลานานกว่า และมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยสูงกว่ามาก ดิฉันจึงแนะนำอย่างยิ่งว่า หากเป็นไปได้ ให้เลือกใช้ทางเลือกที่ 1 (ไปสถานทูต/สถานกงสุลไทย) เสมอ


ทางตัน: จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทายาท “ไม่ยอม” เซ็นหนังสือยินยอม?

นี่คืออีกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ คือทายาทในต่างประเทศ “รับทราบ” แต่ “ไม่ให้ความร่วมมือ” อาจจะด้วยความขัดแย้งส่วนตัว หรือเพียงเพราะไม่สะดวกใจ

หากเกิดกรณีนี้ ผู้ร้องในไทย “ไม่จำเป็นต้อง” ยอมแพ้ค่ะ

ผู้ร้องยังคงสามารถยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้ แต่ต้องแถลงต่อศาลตามความจริงว่า มีทายาทชื่อ… อยู่ที่ประเทศ… และ “ไม่สามารถติดต่อได้” หรือ “ติดต่อได้แต่ไม่ได้รับความยินยอม”

เมื่อศาลรับคำร้องแล้ว ศาลจะเปลี่ยนกระบวนการ จากเดิมที่แค่รอเอกสารยินยอม ไปสู่กระบวนการที่เรียกว่า “การส่งหมายเรียกข้ามแดน”

กระบวนการส่งหมายข้ามแดน:

  1. ศาลมีคำสั่ง: ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ร้อง “ดำเนินการส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้อง” ไปให้ทายาทที่อยู่ต่างประเทศนั้น
  2. ดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศ: ผู้ร้องต้องติดต่อกระทรวงการต่างประเทศ (กรมการกงสุล) เพื่อดำเนินการส่งหมายศาลนี้ผ่านช่องทางทางการทูต ไปยังประเทศที่ทายาทพำนักอยู่
  3. การรอคอยที่ยาวนาน: กระบวนการนี้ “ช้ามาก” เพราะเป็นการทำงานระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล อาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือนานกว่านั้น
  4. ผลลัพธ์:
    • หากส่งหมายได้: (ทายาทได้รับหมาย) ทายาทคนนั้นมีสิทธิ์ที่จะยื่น “คำคัดค้าน” ผ่านสถานทูตกลับมา หรือจะเพิกเฉยก็ได้
    • หากส่งหมายไม่ได้: หรือทายาทเพิกเฉย เมื่อครบกำหนดเวลา ศาลจะถือว่าทายาทได้รับทราบโดยชอบแล้ว และ “ไม่ติดใจคัดค้าน” ศาลก็จะพิจารณาคดีและแต่งตั้งผู้จัดการมรดกต่อไปได้

ข้อเสียของวิธีนี้: ชัดเจนว่าคือ “เวลา” และ “ค่าใช้จ่าย” ที่สูงมากในการดำเนินการส่งหมายข้ามแดน ดังนั้น การเจรจาพูดคุยกับทายาทในต่างประเทศให้เข้าใจ และขอความร่วมมือในการทำ “หนังสือยินยอม” (ตามทางเลือกที่ 1) จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายค่ะ


สรุปสาระสำคัญ: การวางแผนที่ดี คือกุญแจปลดล็อกมรดก

การที่ทายาทคนใดคนหนึ่งอยู่ต่างประเทศ ไม่ใช่ “ทางตัน” ของการจัดการมรดก แต่เป็น “ความท้าทาย” ที่ต้องจัดการให้ถูกวิธีและถูกกฎหมาย

ดิฉันขอสรุปเหตุผลว่าทำไมการจัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้องตั้งแต่แรกจึงสำคัญที่สุด

  1. ประหยัดเวลา: การทำหนังสือยินยอมผ่านสถานทูตไทย (ทางเลือกที่ 1) แม้จะดูยุ่งยาก แต่ใช้เวลารวม (ตั้งแต่ร่างเอกสาร, นัดหมาย, ส่งกลับ) อาจจะเพียง 1-2 เดือน ซึ่งรวดเร็วกว่าการ “ส่งหมายข้ามแดน” (6-12 เดือน) อย่างเทียบกันไม่ได้
  2. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ค่าธรรมเนียมการรับรองเอกสารที่สถานทูต และค่าส่ง DHL นั้น “น้อยกว่า” ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่งหมายศาลข้ามแดนผ่านกระทรวงฯ หลายเท่าตัว
  3. ลดความผิดพลาด: ศาลไทยคุ้นเคยกับตราประทับของสถานทูตไทยในต่างแดนเป็นอย่างดี การใช้ทางเลือกที่ 1 จึงแทบไม่มีโอกาสที่เอกสารจะถูกปฏิเสธ ตรงกันข้ามกับวิธี Notary Public ที่มักทำผิดพลาดในขั้นตอนการรับรองซ้ำซ้อน
  4. รักษาความสัมพันธ์: การขอความร่วมมือทำหนังสือยินยอม เป็นการสื่อสารที่ประนีประนอม ดีกว่าการ “ส่งหมายศาล” ซึ่งมีลักษณะเป็นการบังคับใช้กฎหมายและอาจสร้างความขุ่นเคืองใจในหมู่ญาติพี่น้อง

ดังนั้น หากคุณกำลังจะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก และมีทายาทอยู่ต่างประเทศ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ติดต่อสื่อสาร” และอธิบายขั้นตอนที่ถูกต้องในการทำหนังสือยินยอมให้พวกเขาทราบ เพื่อให้การจัดการมรดกที่ควรจะเป็นของทุกคน สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีค่ะ


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

คำถามที่ 1: ใช้ VDO Call ให้ทายาทที่อยู่ต่างประเทศ “ยืนยันความยินยอม” ต่อหน้าศาล แทนการทำเอกสารได้หรือไม่?

คำตอบ: ไม่ได้ค่ะ แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่ในกระบวนการพิจารณาคดี (โดยเฉพาะคดีจัดการมรดกแบบไม่มีข้อพิพาท) ศาลยังคงยึดถือ “เอกสารหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร” (Documentary Evidence) เป็นสำคัญ ศาลต้องการ “ต้นฉบับ” หนังสือยินยอมที่ผ่านการรับรองลายมือชื่ออย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเก็บเข้าสำนวนคดี การ VDO Call ไม่ถือเป็นการให้ถ้อยคำในกระบวนพิจารณาที่สมบูรณ์ และไม่สามารถใช้แทนเอกสารยินยอมได้ค่ะ

คำถามที่ 2: ถ้าทายาทที่อยู่ต่างประเทศ เป็น “คนต่างชาติ” (ไม่มีสัญชาติไทย) ต้องทำอย่างไร?

คำตอบ: กระบวนการจะคล้ายกับ “ทางเลือกที่ 2” (Notary Public) และซับซ้อนขึ้นอีกค่ะ คือ

  1. ทายาทต่างชาติต้องนำเอกสาร (หนังสือยินยอม) ไปเซ็นต่อหน้า Notary Public ในประเทศของตน
  2. นำเอกสารนั้นไปรับรองโดยหน่วยงานที่สูงกว่า (เช่น กระทรวงการต่างประเทศของเขา)
  3. นำไปรับรองต่อที่สถานทูตไทยในประเทศนั้น
  4. ส่ง “ต้นฉบับ” กลับมาไทย
  5. “แปล” เอกสารรับรองทั้งหมดที่เป็นภาษาต่างประเทศ ให้เป็นภาษาไทย โดยนักแปลที่ได้รับการรับรอง
  6. นำคำแปลนั้นไป “รับรองคำแปล” ที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ (แจ้งวัฒนะ) อีกครั้ง ก่อนยื่นต่อศาลค่ะ
คำถามที่ 3: หนังสือมอบอำนาจ กับ หนังสือยินยอม ต้องทำแยกกันหรือไม่?

คำตอบ: ควรทำแยกฉบับกันค่ะ แม้จะยื่นพร้อมกันก็ตาม “หนังสือยินยอม” มีวัตถุประสงค์เดียวคือ “ยินยอมให้…เป็นผู้จัดการมรดก” ส่วน “หนังสือมอบอำนาจ” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับมอบอำนาจ (เช่น ผู้ร้องในไทย) มีอำนาจในการ “ดำเนินการแทน” ทายาทผู้นั้นในกระบวนการของศาล เช่น รับทราบวันนัด รับคำสั่งศาล หรือแม้แต่ให้การแทนในบางประเด็น การทำเอกสารให้ชัดเจนแยกตามวัตถุประสงค์ จะทำให้ศาลพิจารณาได้ง่ายและลดข้อผิดพลาดค่ะ

แชร์
error: Content is protected !!